การเดินเรื่องยังมีเรียบเรื่อยแบบญี่ปุ่นแต่เลือกเล่าประเด็นยาวๆจนเหลือความเป็นญี่ปุ่นคือ “เฮาส์ ออฟ นินจา” “โลกสวย จิตใจดี มีมารยาท” โดยปกติแล้วซีรีส์ญี่ปุ่นแนวแอ็กชันสืบสวนแบบนี้มักจะเล่าเรื่องซอยออกเป็นตอนๆและมันควรจะเป็นแบบนั้นเพราะเป็นการใช้ชั้นเชิงแบบมังงะ แต่เรื่องนี้กลับเลือกเล่าประเด็นเดียวยิงยาวคือเรื่องของสองตระกูลนินจาที่เดินหน้าไปหาความระทึกเร้าใจในปลายทาง แต่การเดินเรื่องกลับเลือกค่อนไปทางญี่ปุ่นคือเรียบเรื่อยให้ภาพและเพลงสื่อสารแต่ก็ไม่ชัดเพราะการเดินหน้าแบบนี้ของฝรั่งก็มีและเหมือนจะมีมากกว่าด้วยซ้ำ ทำให้ถ้าเป็นคนที่ดูซีรีส์ญี่ปุ่นมามากพอจะสังเกตได้ว่าเหลือความเป็นญี่ปุ่นอยู่ไม่มากจนเกือบเป็นซีรีส์อเมริกันอยู่รอมร่อถ้าไม่มีมิติความเป็นเอกลักษณ์ของคนญี่ปุ่นคือ “โลกสวย จิตใจดี มีมารยาท” ในทุกสถานการณ์ก็คงกลายเป็นซีรีส์ฝรั่งไปแล้ว แน่นอนการเล่าเรื่องแบบร่ายยาวโดยไม่ซอยย่อยกับซีรีส์ที่เวลาฉายเยอะแบบนี้สิ่งที่ต้องแลกมาคือความเรียบเรื่อยจะพาความเอื่อยเฉื่อยมาเป็นพักๆ ซึ่งมันต่างจากความเป็นซีรีส์ญี่ปุ่นแท้ที่เล่าแบบนี้เพราะความต่างกันคือเรื่องของอารมณ์ “House of Ninjas” อาจไม่ได้ดั่งใจต้องการแต่ยังเป็นงานที่ดูสนุกดูเพลินมีอารมณ์ขันเจ็บๆทำให้แม้จะเล่าเป็นหนังเรื่องยาวแต่ไม่น่าเบื่อ แรกเลยผู้เขียนคิดหวังถึงการเอาเรื่องเชิงศิลปะวัฒนธรรมที่ลึกล้ำมาเล่าเหมือนอย่างสองเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นและความน่าสนใจอยู่ที่เรื่องของนินจามันมีความลึกลับอยู่ด้วย แต่สิ่งเหล่านั้นก็ถูกมองข้ามไปอาจเพราะเรื่องนินจาเป็นแค่เรื่องเล่าในตำนานที่หลงเหลือไว้ไม่มากก็เป็นได้จึงเลือกที่จะไม่ลงลึกซึ่งก็น่าเสียดายเพราะนั่นคือหัวใจของการจะดึงอารมณ์ แต่แม้จะไม่ได้ดั่งใจก็ยังเป็นงานที่ดูสนุกเพราะการสานปมประเด็นยังผูกมัดกันได้ทำให้น่าสนใจไปจนถึงตอนท้ายไม่มีหลุดไม่มีทิ้งไว้ให้หัวจะปวดเพราะไม่ได้ตั้งใจมายาก ทั้งความพลิกผันที่พอเปิดออกมาก็ออกปากได้เลยว่า “นั่นไงว่าแล้ว” เพราะไม่ยากต่อการคาดเดา แต่ความเพลินของเรื่องนี้อยู่ที่อารมณ์ขันเจ็บๆที่อาจไม่แรงแต่เรื่อยๆทั้งในเรื่องช่องว่างระหว่างวัยและความเป็นครอบครัวแน่นอนสามีภรรยาพ่อกับลูก ที่สำคัญยังมีตัวละครปริศนาที่ซ่อนคมงำประกายไว้อย่างน่าขันคือคุณย่า (โนบุโกะ มิยาโมโตะ) ทำให้เรื่องยาวๆไม่มีน่าเบื่อ
การเดินเรื่องยังมีเรียบเรื่อยแบบญี่ปุ่นแต่เลือกเล่าประเด็นยาวๆจนเหลือความเป็นญี่ปุ่นคือ “เฮาส์ ออฟ นินจา” “โลกสวย จิตใจดี มีมารยาท” โดยปกติแล้วซีรีส์ญี่ปุ่นแนวแอ็กชันสืบสวนแบบนี้มักจะเล่าเรื่องซอยออกเป็นตอนๆและมันควรจะเป็นแบบนั้นเพราะเป็นการใช้ชั้นเชิงแบบมังงะ แต่เรื่องนี้กลับเลือกเล่าประเด็นเดียวยิงยาวคือเรื่องของสองตระกูลนินจาที่เดินหน้าไปหาความระทึกเร้าใจในปลายทาง แต่การเดินเรื่องกลับเลือกค่อนไปทางญี่ปุ่นคือเรียบเรื่อยให้ภาพและเพลงสื่อสารแต่ก็ไม่ชัดเพราะการเดินหน้าแบบนี้ของฝรั่งก็มีและเหมือนจะมีมากกว่าด้วยซ้ำ ทำให้ถ้าเป็นคนที่ดูซีรีส์ญี่ปุ่นมามากพอจะสังเกตได้ว่าเหลือความเป็นญี่ปุ่นอยู่ไม่มากจนเกือบเป็นซีรีส์อเมริกันอยู่รอมร่อถ้าไม่มีมิติความเป็นเอกลักษณ์ของคนญี่ปุ่นคือ “โลกสวย จิตใจดี มีมารยาท” ในทุกสถานการณ์ก็คงกลายเป็นซีรีส์ฝรั่งไปแล้ว แน่นอนการเล่าเรื่องแบบร่ายยาวโดยไม่ซอยย่อยกับซีรีส์ที่เวลาฉายเยอะแบบนี้สิ่งที่ต้องแลกมาคือความเรียบเรื่อยจะพาความเอื่อยเฉื่อยมาเป็นพักๆ ซึ่งมันต่างจากความเป็นซีรีส์ญี่ปุ่นแท้ที่เล่าแบบนี้เพราะความต่างกันคือเรื่องของอารมณ์ “House of Ninjas” อาจไม่ได้ดั่งใจต้องการแต่ยังเป็นงานที่ดูสนุกดูเพลินมีอารมณ์ขันเจ็บๆทำให้แม้จะเล่าเป็นหนังเรื่องยาวแต่ไม่น่าเบื่อ แรกเลยผู้เขียนคิดหวังถึงการเอาเรื่องเชิงศิลปะวัฒนธรรมที่ลึกล้ำมาเล่าเหมือนอย่างสองเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นและความน่าสนใจอยู่ที่เรื่องของนินจามันมีความลึกลับอยู่ด้วย แต่สิ่งเหล่านั้นก็ถูกมองข้ามไปอาจเพราะเรื่องนินจาเป็นแค่เรื่องเล่าในตำนานที่หลงเหลือไว้ไม่มากก็เป็นได้จึงเลือกที่จะไม่ลงลึกซึ่งก็น่าเสียดายเพราะนั่นคือหัวใจของการจะดึงอารมณ์ แต่แม้จะไม่ได้ดั่งใจก็ยังเป็นงานที่ดูสนุกเพราะการสานปมประเด็นยังผูกมัดกันได้ทำให้น่าสนใจไปจนถึงตอนท้ายไม่มีหลุดไม่มีทิ้งไว้ให้หัวจะปวดเพราะไม่ได้ตั้งใจมายาก ทั้งความพลิกผันที่พอเปิดออกมาก็ออกปากได้เลยว่า “นั่นไงว่าแล้ว” เพราะไม่ยากต่อการคาดเดา แต่ความเพลินของเรื่องนี้อยู่ที่อารมณ์ขันเจ็บๆที่อาจไม่แรงแต่เรื่อยๆทั้งในเรื่องช่องว่างระหว่างวัยและความเป็นครอบครัวแน่นอนสามีภรรยาพ่อกับลูก ที่สำคัญยังมีตัวละครปริศนาที่ซ่อนคมงำประกายไว้อย่างน่าขันคือคุณย่า (โนบุโกะ มิยาโมโตะ) ทำให้เรื่องยาวๆไม่มีน่าเบื่อ
การเดินเรื่องยังมีเรียบเรื่อยแบบญี่ปุ่นแต่เลือกเล่าประเด็นยาวๆจนเหลือความเป็นญี่ปุ่นคือ “เฮาส์ ออฟ นินจา” “โลกสวย จิตใจดี มีมารยาท”
โดยปกติแล้วซีรีส์ญี่ปุ่นแนวแอ็กชันสืบสวนแบบนี้มักจะเล่าเรื่องซอยออกเป็นตอนๆและมันควรจะเป็นแบบนั้นเพราะเป็นการใช้ชั้นเชิงแบบมังงะ
แต่เรื่องนี้กลับเลือกเล่าประเด็นเดียวยิงยาวคือเรื่องของสองตระกูลนินจาที่เดินหน้าไปหาความระทึกเร้าใจในปลายทาง
แต่การเดินเรื่องกลับเลือกค่อนไปทางญี่ปุ่นคือเรียบเรื่อยให้ภาพและเพลงสื่อสารแต่ก็ไม่ชัดเพราะการเดินหน้าแบบนี้ของฝรั่งก็มีและเหมือนจะมีมากกว่าด้วยซ้ำ
ทำให้ถ้าเป็นคนที่ดูซีรีส์ญี่ปุ่นมามากพอจะสังเกตได้ว่าเหลือความเป็นญี่ปุ่นอยู่ไม่มากจนเกือบเป็นซีรีส์อเมริกันอยู่รอมร่อถ้าไม่มีมิติความเป็นเอกลักษณ์ของคนญี่ปุ่นคือ “โลกสวย จิตใจดี มีมารยาท” ในทุกสถานการณ์ก็คงกลายเป็นซีรีส์ฝรั่งไปแล้ว
แน่นอนการเล่าเรื่องแบบร่ายยาวโดยไม่ซอยย่อยกับซีรีส์ที่เวลาฉายเยอะแบบนี้สิ่งที่ต้องแลกมาคือความเรียบเรื่อยจะพาความเอื่อยเฉื่อยมาเป็นพักๆ ซึ่งมันต่างจากความเป็นซีรีส์ญี่ปุ่นแท้ที่เล่าแบบนี้เพราะความต่างกันคือเรื่องของอารมณ์
“House of Ninjas” อาจไม่ได้ดั่งใจต้องการแต่ยังเป็นงานที่ดูสนุกดูเพลินมีอารมณ์ขันเจ็บๆทำให้แม้จะเล่าเป็นหนังเรื่องยาวแต่ไม่น่าเบื่อ
แรกเลยผู้เขียนคิดหวังถึงการเอาเรื่องเชิงศิลปะวัฒนธรรมที่ลึกล้ำมาเล่าเหมือนอย่างสองเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นและความน่าสนใจอยู่ที่เรื่องของนินจามันมีความลึกลับอยู่ด้วย
แต่สิ่งเหล่านั้นก็ถูกมองข้ามไปอาจเพราะเรื่องนินจาเป็นแค่เรื่องเล่าในตำนานที่หลงเหลือไว้ไม่มากก็เป็นได้จึงเลือกที่จะไม่ลงลึกซึ่งก็น่าเสียดายเพราะนั่นคือหัวใจของการจะดึงอารมณ์
แต่แม้จะไม่ได้ดั่งใจก็ยังเป็นงานที่ดูสนุกเพราะการสานปมประเด็นยังผูกมัดกันได้ทำให้น่าสนใจไปจนถึงตอนท้ายไม่มีหลุดไม่มีทิ้งไว้ให้หัวจะปวดเพราะไม่ได้ตั้งใจมายาก ทั้งความพลิกผันที่พอเปิดออกมาก็ออกปากได้เลยว่า “นั่นไงว่าแล้ว”
เพราะไม่ยากต่อการคาดเดา แต่ความเพลินของเรื่องนี้อยู่ที่อารมณ์ขันเจ็บๆที่อาจไม่แรงแต่เรื่อยๆทั้งในเรื่องช่องว่างระหว่างวัยและความเป็นครอบครัวแน่นอนสามีภรรยาพ่อกับลูก ที่สำคัญยังมีตัวละครปริศนาที่ซ่อนคมงำประกายไว้อย่างน่าขันคือคุณย่า
(โนบุโกะ มิยาโมโตะ) ทำให้เรื่องยาวๆไม่มีน่าเบื่อ
ไม่เล่นวันนี้จะรวยวันไหน แทงบอล สล็อต บาคาร่า ยิงปลา แทงบอล หวย รูเล็ต เสือมังกร น้ำเต้าปูปลา ไฮโล เกมส์คาสิโนอีกมากมายไปหาเว็บตรงออนไลน์ ufath123.com ช่วยได้